
ในหลวงรัชกาลที่สิบสั่งแม่ทัพกุ้งแล้ว
เรื่องราวนี้ครับเป็นเรื่องราวของคนหนึ่งที่หลายคนรู้จักกันในนามแม่ทัพกุ้งหรือพลโทบุญศิลป์พาดกลาง
เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประวัติของทหารคนหนึ่งครับแต่มันคือบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความจงรักภักดีการทำหน้าที่และการเลือกเส้นทางชีวิตที่แท้จริง
ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งที่เมื่อถึงจุดหักเหของชีวิตเขาได้เลือกเส้นทางที่แสดงถึงหลักการและความเชื่อมั่นของเขาอย่างแท้จริง
ก่อนที่เราจะเข้าสู่เรื่องราวของพลโทบุญศิลป์พาดกลางผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจหลักการสำคัญอย่างหนึ่งก่อนครับ
นั่นคือความเป็นกลางของสถาบันพระมหากษัตริย์พลโทบุญศิลป์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สิบ
รวมถึงพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลที่ผ่านมาท่านเป็นกลางทุกอย่างคำกล่าวนี้ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดามันสะท้อนถึงหลักการที่สำคัญยิ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงดำรงอยู่เหนือการเมืองเหนือพรรคพวก
สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา
ไม่ได้เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่ได้เข้าข้างใคร
แต่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
ทรงเป็นหลักยึดเหนี่ยวที่ยืนหยัดเพื่อความผาสุกของปวงชนชาวไทยทุกคนไม่ว่าจะมีความคิดเห็นการเมืองอย่างไรความเป็นกลางนี้เองที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทุกยุคทุกสมัย
เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสามัคคีปองดองไม่ใช่สัญลักษณ์ของการแบ่งแยกและหลักการนี้เองครับที่กำหนดเส้นทางชีวิตของแม่ทัพกุ้งในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตเขาครับ
ในช่วงหนึ่งของชีวิตของท่านพลโทบุญศิลป์ภาคกลางหรือแม่ทัพกุ้งได้เผชิญกับคำถามสำคัญคำถามที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สิบ
รับสั่งถามท่านนั่นคือ
บุญศีลจะคงเป็นองครักษ์ต่อไปหรือไม่ลองนึกภาพดูครับคำถามนี้ไม่ใช่แค่การถามเรื่องตำแหน่งหน้าที่ธรรมดามันคือคำถามกับความมุ่งมั่นความจงรักภักดีและทิศทางชีวิตที่แท้จริง
สำหรับคนทำงานคำถามแบบนี้อาจจะเทียบได้กับที่เจ้านายถามว่าคุณยังอยากทำงานที่นี่ต่อไหม
แต่สำหรับทหารสำหรับราชองครักษ์คำถามนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นมากเพราะการเป็นองครักษ์ไม่ใช่แค่อาชีพมันคือการอุทิศชีวิตการยืนหยัดเฝ้าระวังการคุ้มครองรักษาสถาบันที่สำคัญที่สุดของชาติ
และท่านพลโทบุญศิลป์เขาได้ตอบคำถามนั้นด้วยความพร้อมด้วยความแน่วแน่เขาแสดงความพร้อมที่จะรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทต่อไปโดยไม่ลังเลใจผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งนั้นคือพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สิบ
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้พลโทบุญศิลป์ภาคกลางเป็นราชองครักษ์พิเศษ
ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งธรรมดามันคือเกียรติยศสูงสุดสำหรับทหารผู้หนึ่งมันคือความไว้วางพระราชหฤทัยที่พระองค์ท่านมีต่อผู้รับใช้ของพระองค์
แต่การรับเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่นี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นครับการแต่งตั้งให้เป็นราชโองการพิเศษนั้นมาพร้อมกับเงื่อนไขสำคัญเงื่อนไขที่ระบุไว้อย่างชัดเจนไม่มีคำกำกวมนั้นคือ
ห้ามยุ่งกับการเมืองสี่คำนี้ฟังดูเรียบง่ายแต่มันมีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่งทำไมถึงมีเงื่อนไขนี้ก็เพราะว่าอย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วครับว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางและทรงอยู่เหนือการเมือง
ดังนั้นผู้ที่รับใช้ในพระองค์โดยตรงโดยเฉพาะราชองครักษ์พิเศษก็ต้องเป็นกลางเช่นกัน
ถ้าราชองครักษ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมันจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายนั้นซึ่งนั่นขัดแย้งกับหลักการความเป็นกลางโดยการสิ้นเชิงครับ
เงื่อนไขนี้จึงไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพแต่เป็นการปกป้องความบริสุทธิ์ความเป็นกลางและความยิ่งใหญ่ของสถาบัน
สำหรับพลโทบุญศิลป์เงื่อนไขนี้ชัดเจนมากเขาเข้าใจและยอมรับอย่างเต็มใจเขากล่าวว่าก็จบเลยหมายความว่าเมื่อเขายอมรับตำแหน่งนี้แล้วเส้นทางของเขาก็ชัดเจน
เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไปนี่คือการตัดสินใจที่สำคัญการเลือกที่จะยืนหยัดเป็นกลางการเลือกที่จะรับใช้สถาบันอย่างบริสุทธิ์ใจไม่หวั่นไหวไปตามกระแสการเมืองการตัดสินใจนี้จะถูกทดสอบในไม่ช้าครับ
หลังจากที่พลโทบุญศิลป์กลายเป็นราชองครักษ์พิเศษแล้วมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในจุดยืนของเขามีพี่พี่น้องน้องได้โทรศัพท์มาหาเขาด้วยน้ำเสียงที่อาจจะเร่งด่วนอาจจะหวังพึ่งพวกเขากล่าวว่า
เฮ้ยกุ้งช่วยหน่อยไม่มีใครแล้วคำถามนี้ฟังแล้วน่าสงสารฟังแล้วเหมือนเป็นคำขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจในฐานะที่เป็นพี่น้องเป็นเพื่อนร่วมงาน
การที่มีคนมาขอความช่วยเหลือแบบนี้คนส่วนใหญ่คงอยากช่วยแต่พลโทบุญศิลป์เขาต้องมาเชิญกับความขัดแย้งในใจระหว่างความรู้สึกอยากช่วยเหลือพี่น้อง
กับหน้าที่และคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้และในที่สุดเขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่เขาปฏิเสธคำขอนั้น
เขาขอให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าตนได้รับใช้พระเจ้าอยู่หัวแล้วเขายืนยันว่าเขาถือเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัวต่อไปเนื่องจากเขาเป็นราชองครักษ์พิเศษแล้ว
การตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปฏิเสธคนที่เคยร่วมงานด้วย
คนที่อาจจะเคยต่อสู้เคียงข้างกัน
แต่พลโทบุญศีลเข้าใจว่าถ้าเขาตอบรับคำนั้นเขาจะละเมิดเงื่อนไขที่เขาให้ไว้เขาจะทำให้สถาบันที่เขารับใช้เสียหาย
เขาเลือกที่จะยึดมั่นในหลักการไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนนี่คือตัวอย่างของความเป็นมืออาชีพแท้จริงของความซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาของความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเองแต่เรื่องราวนี้ไม่ได้จบแค่นี้ครับ
พลโทบุญศิลป์ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกเขากล่าวว่าผมไม่เอานะครับอำนาจพอแล้วคำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก
ในสังคมที่หลายคนไล่ตามอำนาจ
ไล่ตามตำแหน่ง
ไล่ตามความรุ่งเรือง
พลโทบุญศิลป์กลับประกาศอย่างชัดเจนว่า
เขาไม่ต้องการอำนาจอีกแล้ว
นี่ไม่ใช่คำพูดของคนที่แพ้
ไม่ใช่คำพูดของคนที่ยอมแพ้
แต่เป็นคำพูดของคนที่รู้จักตัวเองรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากชีวิตเขาได้ผ่านพ้นตำแหน่งต่างต่างได้เห็นอำนาจได้สัมผัสอำนาจและเขาพบว่าอำนาจนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเขามีความสุข
สิ่งที่เขาต้องการจริงจริงคือการใช้ชีวิตอย่างมีหลักการมีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่ต้องแบกรับความขัดแย้งในใจ
การปฏิเสธอำนาจนี้เป็นการปลดปล่อยตัวเองจากความผูกพันที่อาจทำให้เขาต้องทำหน้าที่ในสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักของเขาเป็นการเลือกที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระในกรอบที่เขาได้กำหนดไว้เอง
และเมื่อไม่ต้องการอำนาจแล้วท่านพลโทบุญศิลป์พาดกลางจะใช้ชีวิตอย่างไรคำถามของเขาเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย
เขากล่าวว่าหลังจากเกษียณแล้วเขาได้รับบำนาญหลวงซึ่งเพียงพอที่จะเลี้ยงดูเขาได้แล้วเขามีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้องต่อไปอย่างเรียบง่ายเขากล่าวถึงความพอเพียงของชีวิตว่า
อย่างน้อยก็มีข้าวเที่ยงกินมีกาแฟหนึ่งแก้วและน้ำเปล่าและเขาบอกว่านั่นเพียงพอต่อความต้องการของเขาแล้วข้าวเที่ยงกาแฟหนึ่งแก้วและน้ำเปล่าฟังดูเรียบง่ายมากใช่ไหมล่ะครับแต่นี่คือปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้ง
นี่คือความเข้าใจในคำว่าพอเพียงท่านพลโทบุญศิลป์ไม่ต้องการความหรูหราไม่ต้องการสิ่งฟุ่มเฟือยเขาต้องการแค่ชีวิตที่เรียบง่ายมีความสุขอยู่กับพี่น้องมีอาหารกินมีกาแฟดื่มตอนเช้าและมีน้ำ
นี่คือชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง
ไม่ต้องพึ่งพาอำนาจ
ไม่ต้องพึ่งพาความเจริญรุ่งเรือง
เขาได้ทำหน้าที่ของเขามาหมดแล้วได้รับใช้ชีวิตรับใช้สถาบันอย่างเต็มความสามารถและตอนนี้เขาก็ได้รับสิทธิ์ที่ให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรื่องราวของพลโทบุญศิลป์ภาคกลางหรือแม่ทัพกุ้งให้บทเรียนสำคัญหลายประการกับเราครับ
ประการแรกคือความสำคัญของหลักการและความเป็นกลางสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราทรงเป็นกลางเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกคน
และผู้ที่รับใช้สถาบันก็ต้องรักษาความเป็นกลางนี้ไว้ประการที่สองคือความกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องแม้จะมีคนมาขอความช่วยเหลือแม้จะมีแรงกดดัน
พลโทบุญศิลป์ก็ยังคงยึดมั่นในหลักการของเขาไม่ยอมประนีประนอมไม่ยอมทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับความมั่นสัญญา
ประการที่สาม
คือการเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
อำนาจตำแหน่งความรุ่งเรืองสิ่งเหล่านี้
ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความหมาย
ความสุขที่แท้จริง
อยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีหลักการ
มีศักดิ์ศรีและมีความพอเพียง
และประการสุดท้าย
คือความจงรักภักดีที่แท้จริง
ความจงรักภักดีไม่ได้วัดกันที่คำพูดแต่วัดกันที่การกระทำพลโทบุญศิลป์แสดงให้เห็นว่าความจงรักภักดีที่แท้จริงคือการทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์การรักษาความเป็นกลางและการไม่นำสถาบันที่รับใช้ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
เรื่องราวของแม่ทัพกุ้งหรือพลโทบุญศิลป์ภาคกลางคือเรื่องราวของความกล้าหาญไม่ใช่ความกล้าหาญในสนามรบ
แต่เป็นความกล้าหาญที่อย่ายืนหยัดในหลักการของชีวิตตนเองเป็นเรื่องราวที่สอนเราว่าบางครั้งการปฏิเสธก็คือการยืนยันการปฏิเสธอำนาจก็คือการยืนยันในหลักการ
การปฏิเสธความซับซ้อนก็คือการยืนยันในความเรียบง่ายขอให้เรื่องราวนี้ครับเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกท่านให้รู้จักยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องรู้จักพอเพียงและรู้จักความหมายที่แท้จริงของชีวิตครับ
คำทำนายในยุครัชกาลที่สิบหลวงปู่ศิลาทำนายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย
เรื่องราวนี้ครับเป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ของคำทำนายจากหลวงปู่ศิลาพระเกจิผู้นิมิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เผยให้เห็นถึงอนาคตของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน
ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมไทยความขัดแย้งทางการเมืองที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น
ความแตกแยกระหว่างผู้คนที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันและความสูญเสียที่เกิดขึ้นในหลายมิติหลายคนอาจเริ่มรู้สึกหมดหวังกับอนาคตของบ้านเมืองแต่ในห้วงเวลาที่มืดมิดที่สุดนี่เองครับหลวงปู่ศิลา
ได้แสวงหาคำตอบจากภพภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ในห้วงสมาธิอันบริสุทธิ์หลวงปู่ศิลาเล่าว่าในนิมิตครั้งแรกท่านได้เห็นสายน้ำใหญ่ไร้ผ่านผืนแผ่นดินไทยสายน้ำนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นมัวเหมือนแม่น้ำที่ปกคลุมไปด้วยโคลนตม
น้ำสีน้ำตาลเข้มไหลอย่างรุนแรง
พัดพาสิ่งต่างต่างไปตามกระแส
ท่านอธิบายว่า
สายน้ำที่ขุ่นมัวนี้คือสัญลักษณ์ของความสับสนความขัดแย้งและความสูญเสียที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรามันเป็นภาพสะท้อนของกรรมเก่าแก่ที่สะสมมาช้านาน
จากการหนองเลือดจากความแตกแยกจากการบิดเบือนจากความโลภะที่ครอบงำจิตใจผู้คน
แต่แล้วในนิมิตนั้น
สิ่งมหัศจรรย์ก็เริ่มขึ้น
ท่านเห็นแสงสีทองส่องลงมาจากท้องฟ้า
แสงนั้นค่อยค่อยแผ่ขยายลงมาสัมผัสกับสายน้ำที่ขุ่นมัวและอัศจรรย์เหลือเกิน
น้ำที่เคยขุ่นมัวนั้นเริ่มใสขึ้นทีละน้อยโคนต้มเริ่มจมลงสู่ก้นน้ำและสายน้ำก็กลายเป็นสายน้ำใสสะอาดสะท้อนแสงแดดอันอบอุ่น
ท่านเห็นหมื่นแสนดวงวิญญาณแห่งบุญบารมีลอยอยู่เหนือสายน้ำพวกเขาคือเทวดาที่มาช่วยชะล้างความมืดมนออกไปแต่ที่สำคัญครับ
ท่านเห็นผู้คนนับล้านยืนอยู่สองฝั่งแม่น้ำพวกเขาร่วมกันสวดมนต์ภาวนาทำบุญและส่งพลังแห่งความศรัทธาเข้าสู่สายน้ำ
และนี่คือข้อความสำคัญที่หลวงปู่ต้องการสื่อบ้านเมืองจะดีขึ้นไม่ใช่เพราะผู้นำเพียงคนเดียวแต่เพราะประชาชนทุกคนร่วมกันสร้างบุญร่วมกันละความโกรธความเกลียดและหันมาร่วมมือกันด้วยน้ำใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตา
ท่านย้ำว่าอย่าหมดหวังแม้ในวันที่มืดที่สุดเพราะความสว่างกำลังเดินทางมาดวงชะตาของเมืองไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า
ในนิมิตถัดมาหลวงปู่ศิลาได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นท่านเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปรากฏขึ้นกลางผืนแผ่นดินไทยพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นรัศมีสีทองอร่ามไปทั่วทุกทิศ
แสงนั้นไม่เพียงแต่แผ่ไปทั่วประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังแผ่ขยายไปถึงพรมแดนด้านนอกไปสู่เพื่อนบ้านไปสู่ภูมิภาคอาเซียนและไปสู่โลก
แสงแห่งพระพุทธองค์นี้คือแสงแห่งสันติภาพแสงแห่งเมตตาและแสงแห่งปัญญามันจะนำพาความสงบสุข
มาสู่มวลมนุษยชาติและทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของภูมิภาคและที่น่าประทับใจยิ่งกว่านั้นคือท่านได้เห็นดอกบัวดอกใหญ่ผุดขึ้นจากกลางแม่น้ำดอกบัวนั้นเริ่มจากดอกตูมเล็กเล็กที่จมอยู่ใต้น้ำโคลน
แล้วค่อยค่อยงอกงามขึ้นมาทะลุผ่านผิวน้ำและผี่บานอย่างสง่างามกลีบบัวสีขาวบริสุทธิ์แผ่กระจายออกไปเป่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วดอกบัวนี้คือสัญลักษณ์ของประเทศไทยแม้จะต้องผ่านความทุกข์ยาก
แม้จะต้องจมอยู่ในโคลนตมแห่งความขัดแย้งแต่สุดท้ายแล้วเราจะพ้นน้ำจะผลิบานอย่างสวยงาม
และให้โลกได้เห็นความงดงามแห่งอารยธรรมสยามหลวงปู่ยังได้ยินเสียงสวดมนต์แผ่วเบาจากฟากฟ้าเสียงนั้นไพเราะและเต็มไปด้วยความสงบเป็นเสียงของเทวดาหมื่นองค์แสนองค์ที่กำลังบทสวดธรรมะพวกเขาบอกกับท่านว่า
ถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองจะได้รับการคุ้มครองใหม่การชำระกรรมเก่ากำลังจะสำเร็จและยุคใหม่แห่งความเจริญรุ่งเรืองกำลังจะมาถึง
และหนึ่งในมิติที่สำคัญที่สุดของหลวงปู่ศิลาคือการเห็นภาพของผู้นำใหม่ที่จะมาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยท่านเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดภูเขาสูงเขามองลงมายังพื้นแผ่นดินไทยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงบ
ไม่ใช่สายตาของคนที่กระหายอำนาจไม่ใช่สายตาของคนที่ต้องการชื่อเสียงแต่เป็นสายตาของผู้ที่มีเมตตาของผู้ที่ปรารถนาอย่างแท้จริงว่าจะเห็นประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
ผู้นำคนนี้มีลักษณะพิเศษหลายประการหลวงปู่ได้อธิบายไว้ประการแรกเขาเป็นผู้มีคุณธรรมและเขาจะใช้ปัญญาและศีลธรรมเป็นเข็มทิศนำพาแผ่นดิน
ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือเงินทองเขาจะตัดสินใจด้วยอายุความยุติธรรมไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและจะทำให้คนทุกกลุ่มรู้สึกว่าได้รับการรับฟัง
ประสบการณ์ที่สองเขามีบุญบารมีติดตัวมาจากชาติปางก่อนนี่ไม่ใช่นักการเมืองธรรมดาที่มาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแต่เป็นผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบ้านเมืองเพื่อนำพาประชาชนออกจากความมืดมิด
ประการที่สามเขาจะอยู่เคียงข้างประชาชนไม่ใช่อยู่เหนือประชาชนเขาเข้าใจความทุกข์ยากของคนทุกชนชั้นตั้งแต่ชาวนาชาวไร่ในชนบทไปจนถึงผู้ประกอบการในเมืองและเขาพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังไม่ใช่แค่พูดเพื่อหาเสียง
และการมาถึงของผู้นำนี้จะเกิดขึ้นผ่านการเลือกตั้งครั้งสำคัญหลวงปู่ทำนายว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะแตกต่างจากที่เคยเป็นมาผู้คนจะตื่นตัวมากขึ้นจะใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์และจะเลือกผู้ที่มีคุณธรรมแท้จริง
ไม่ใช่เลือกตามสีเสื้อหรือกลุ่มการเมืองเมื่อผู้นำคนใหม่เข้ามาการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เปรียบเหมือนการเปลี่ยนทิศทางลมจากมรสุมที่นำความทุกข์มากลายเป็นสายลมเย็นที่พัดพาความสงบความเจริญและความมั่นคงกลับคืนมา
พรรคการเมืองที่เคยต่อสู้อย่างดุเดือด
จะเริ่มหันหน้ามาคุยกัน
จะเริ่มเห็นความสำคัญของการร่วมมือเพื่อแผ่นดิน
มากกว่าการแย่งชิงอำนาจเพื่อตนเอง
เศรษฐกิจที่เคยซบเซาจะเริ่มฟื้นตัวการศึกษาจะได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริง
กองทัพจะกลับมาทำหน้าที่ปกป้องประเทศอย่างแท้จริงความสัมพันธ์ต่างประเทศจะดีขึ้นประเทศไทยจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติชื่อเสียงของสยามจะกลับมาสง่างามบนเวทีโลกอีกครั้ง
อีกหนึ่งมิติที่สำคัญของหลวงปู่ศิลาคือการเห็นความสงบสุขกลับคืนมาสู่ชายแดนไทยกัมพูชา
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งยืดเยื้อมานานท่านเห็นภาพบริเวณชายแดนที่เต็มไปด้วยเสียงปืนควันไฟและเสียงร้องไห้ของผู้บริสุทธิ์ค่อยค่อยเงียบสงบลงเหมือนมีพลังบางอย่างมาดับไฟแห่งความเกลียดชังที่ลุกโชนมาอย่างช้านาน
ทหารที่เคยยืนประจันหน้ากันด้วยอาวุธค่อยค่อยวางอาวุธลงพวกเขาเริ่มมองหน้ากันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ไม่ใช่สายตาของศัตรูแต่เป็นสายตาของพี่น้องที่แบ่งปันความเชื่อวัฒนธรรมและรากเหง้าเดียวกันหลวงปู่อธิบายว่าทุกสงครามย่อมจบลงด้วยความตาย
แต่ทุกสันนิภาพเริ่มต้นด้วยความเมตตาและความเมตตานี้จะเกิดขึ้นจากการที่ทั้งสองฝ่ายทั้งสองประเทศหันกลับมาสิ่งที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันนั่นคือพระพุทธศาสนาท่านเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถูกสร้างขึ้นกลางพรมแดน
เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและความร่วมมือผู้คนจากทั้งสองฝั่งมาร่วมกันสร้างมาร่วมกันบูชาและมาร่วมกันสวดมนต์ภาวนา
ศาสนาจะกลายเป็นสะพานเชื่อมความรักความสงบไม่ใช่กำแพงแบ่งแยกวัฒนธรรมประเพณีและศิลปะที่มีร่วมกันจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเฉลิมฉลองและสืบทอดร่วมกัน
เมื่อความขัดแย้งยุติลงสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นชายแดนที่เคยเป็นแนวรบจะกลายเป็นประตูการค้าการท่องเที่ยวและความเจริญรุ่งเรืองชาวบ้านที่เคยต้องอพยพหนีภัยสงครามจะกลับมาสร้างบ้านเรือนทำมาหากินและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
การค้าชายแดนจะเฟื่องฟูเกษตรกรจะได้ส่งผลผลิตข้ามพรมแดนอย่างสะดวกการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนาจะเติบโตนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะมาชมโบราณสถานอันงดงามของทั้งสองประเทศและที่สำคัญที่สุด
เด็กเด็กจะได้เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความรุนแรง
พวกเขาจะไม่ต้องได้ยินเสียงปืน
ไม่ต้องเห็นความตายและจะได้เรียนรู้ว่าเพื่อนบ้านคือพี่น้องไม่ใช่ศัตรูนี่คือภาพแห่งอนาคต
ที่หลวงปู่ได้เห็นและท่านเชื่อมั่นว่าจะเกิดขึ้นจริงเพราะนี่คือผลแห่งบุญกุศลที่ผู้คนทั้งสองประเทศได้สร้างสมกันมาครับเมื่อบ้านเมืองสิ้นสุดความขัดแย้งเมื่อคนไทยหันหน้ามาสามัคคีกันและเมื่อความสงบสุขกลับคืนมา
สิ่งที่รออยู่คือยุคทองแห่งความรุ่งเรืองหลวงปู่ศิลาได้เห็นภาพอนาคตของประเทศไทยที่งดงามเหลือเกินท่านเห็นท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่อุดมไปด้วยผลผลิตทางการเกษตรข้าวที่ปลูกงอกงามเต็มทุ่งนารวมข้าวสีทอง
ชาวนาชาวไร่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเพราะพวกเขาได้รับราคาที่เป็นธรรมและไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สินประเทศไทยจะกลับมาเป็นครัวของโลกอย่างแท้จริง
ผลผลิตทางการเกษตรของเราจะได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูงสุดปลอดภัยและยั่งยืนเศรษฐกิจจะเฟื่องฟูอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการค้าขายเจริญรุ่งเรืองผู้คนมีงานทำมีรายได้มั่นคงความเหลื่อมล้ำจะลดน้อยลง
เพราะการกระจายความมั่งคั่งที่เป็นธรรมการท่องเที่ยวจะกลับมารุ่งเรืองเกินกว่าแต่ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณชาวต่างชาติจะมาแสวงหาความสงบมาศึกษาธรรมะ
มาฝึกสมาธิและมาซึมซับวิถีชีวิตที่สมดุลของคนไทยวัดวาอารามจะคึกคื้นด้วยผู้คนที่มาทำบุญฟังธรรมและปฏิบัติธรรมศรัทธาในพระพุทธศาสนาจะถูกฟื้นฟู
ไม่ใช่เพียงแค่เป็นพิธีกรรม
แต่เป็นวิถีชีวิตที่แท้จริง
การศึกษาจะได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง
เด็กไทยจะได้รับโอกาสเรียนรู้อย่างเต็มที่
ไม่ว่าจะเกิดในครอบครัวใดความรู้จะเชื่อมโยงกับคุณธรรมเด็กจะได้เรียนรู้ทั้งวิชาการและภูมิปัญญาทั้งวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ
ระบบสาธารณสุขจะเข้มแข็งประเทศไทยจะกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านสุขภาพของโลกทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทยจะถูกบูรณาการอย่างลงตัวศิลปินไทยดนตรีไทยและหัตถกรรมไทยจะได้รับการยอมรับในระดับสากล
ผู้คนจากทั่วโลกจะมองประเทศไทยในฐานะดินแดนแห่งความงดงามทั้งทางวัตถุและจิตวิญญาณนี่คือยุคทองที่หลวงปู่ศิลาได้เห็นและมันจะเกิดขึ้นด้วยพลังของเราทุกคนไม่ใช่แค่รอคอยให้ผู้นำมาแก้ปัญหา
แต่เราต้องร่วมมือกันร่วมสร้างบุญกุศลร่วมกันและร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง
ก่อนจากกันวันนี้ฝากกดไลก์กดแชร์และกดติดตามช่องจับเรื่องมาเล่าแชนแนลด้วยนะครับ
เรื่องราวที่เล่าทุกตอนเราตั้งใจสืบค้นจากคำบอกเล่าและตำนานและเรื่องจริงจากพระเกจิผู้เปี่ยมด้วยเมตตาหากผิดพลาดประการใดขออภัยไว้
ณ
ที่นี้ด้วยนะครับแล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับที่นี่คือจับเรื่องมาเล่าชาแนลครับ